สลด ไฟช็อตพ่อลูก 4 ดับ เมียเข้าช่วยบาดเจ็บสาหัส
วันที่ 1 พ.ย. จากเหตุสลด นายพิศาล อุพลรัมย์ อายุ 40 ปี ชาว ต.บ้านบัว อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ เสียชีวิตใกล้กับรถส่งวัสดุก่อสร้างในสภาพร่างกายมีรอยไหม้เกรียมเนื่องจากถูกกระแสไฟฟ้าแรงสูงช็อต นอนหงายอยู่ข้างประตูรถ หลังจากไปส่งเหล็กในเขต อ.พุทไธสง จ.บุรีรัมย์ และยังพบ น.ส.รุ่งรัตน์ อินทร์รัมย์ อายุ 29 ปี ภรรยาของผู้เสียชีวิต ล้มอยู่ในร่องข้างถนน ได้รับบาดเจ็บสาหัส หน่วยกู้ภัยรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลพุทไธสง ก่อนส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ โดยก่อนเกิดเหตุ ทั้ง 2 ได้นัดจะพาลูก 4 คนไปร่วมงานลอยกระทง แต่มาเกิดเหตุสลดเสียก่อน เมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา
ล่าสุด จากการสอบถาม นางสาวละไม ใจกล้า อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 52 ม.7 ต.มะเฟือง อ.พุทไธสง คนเห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ขณะเกิดเหตุ รถเครนยกบันไดไปพาดแตะสายไฟฟ้าแรงสูง ทำให้กระแสไฟวิ่งลงมาที่ตัวรถ และช็อตนายพิศาล ผู้ตายจนล้มลง ขณะยืนกำลังคอนโทรลเครนยกของให้ลูกค้าจนเสียชีวิต ส่วนภรรยาของนายพิศาลก็ถูกกระแสไฟฟ้าดูดเช่นกัน ขณะพยายามเข้าไปช่วยเหลือ จนร่างกระเด็นตกร่องน้ำ ตนพยายามจะช่วยเหลือผู้หญิง แต่ก็ตกใจ กล้าๆ กลัวๆ จะถูกไฟฟ้าดูด เพราะไม่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้ไปที่สำนักสงฆ์หนองปลัดชุมแสง หมู่ 13 ต.บ้านบัว อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ที่จัดงานศพของนายพิศาล พบบรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า มีชาวบ้านเริ่มทยอยมาช่วยงาน
สอบถาม นางสาวกนกธาดา อุพลรัมย์ อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 159 ม.13 ต.บ้านบัว อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ พี่สาวผู้ตาย เล่าว่า ขณะเทำกระทงอยู่ที่บ้าน เพื่อนำไปลอยกระทงพร้อมครอบครัวน้องชาย รู้ข่าวว่าเกิดเหตุขึ้นก็รีบไปที่โรงพยาบาลเพื่อจะไปดูศพน้องชาย เมื่อไปถึงได้จับมือ ตามแขน ตามขา พบมีรอยไหม้ ก็รู้สึกเสียใจ จึงจับมือน้องชายพร้อมกล่าวว่า พี่มาหาแล้วนะ ไม่อยากให้น้องอยู่คนเดียว พร้อมบอกว่า พี่จะพากลับบ้านนะ และพรุ่งนี้จะทำการฌาปนกิจศพน้อง
นางสาวกนกธาดา ยังเล่าอีกว่า เมื่อนำศพน้องชายมาบำเพ็ญกุศลที่วัดเรียบร้อย ได้มีโอกาสไปเยี่ยมหาน้องสะใภ้ที่ถูกไฟดูดด้วยเช่นกัน ซึ่งขณะนี้น้องสะใภ้อาการปลอดภัย แต่มีบาดแผลถูกไฟดูดบริเวณหลังมือด้านขวาและเท้าทั้งสองข้าง แพทย์ยังไม่อนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล เนื่องจากมีกระแสไฟฟ้าอยู่ในตัวอยู่ ต้องให้นอนดูอาการ คาดว่าพรุ่งนี้จึงจะสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ และยังบ่นว่าเจ็บหน้าอกอยู่
ได้บอกน้องสะใภ้ว่าไม่ต้องห่วงหลาน และไม่ต้องคิดอะไรมาก ทำตัวเองให้แข็งแรง จะได้ฟื้นตัว ให้อยู่เพื่อลูกไม่อยากสูญเสียน้องสะใภ้ไปอีกคน ส่วนด้านทางบริษัทของน้องชายก็ติดต่อมาแล้ว ซึ่งเจ้าของจะเดินทางมาที่งานศพด้วยตนเอง โดยส่วนตัวอยากให้บริษัทรับน้องสะใภ้เป็นพนักงานประจำมีเงินเดือนเพื่อเลี้ยงดูลูกๆทั้ง 4 คน ซึ่งสูญเสียเสาหลักของครอบครัวไป