2 ทายาท เต้ ทัตพงศ์ จากดาราดังสู่เส้นทางพ่อค้า
เต้ ทัตพงศ์ อดีตดาราดัง ได้ให้สัมภาษณ์ ถึงเหตุผลที่กลับมาขายทุเรียนว่า “ก่อนที่จะมีโควิด ผมมีบริษัทที่ผมขายของอยู่ในบิ๊กซี เป็นของที่ขายนักท่องเที่ยว มีทั้งทุเรียนฟรีซดราย มะม่วงอบแห้ง หมูแผ่น หมูทุบ หมูหยอง หมูฝอย ในแบรนด์สวนไทของผมเอง
ซึ่งผมมี 11 สาขาในบิ๊กซี ซึ่งทุกสาขามีพีซีอยู่เป็นเคาน์เตอร์ ขายดีมาก ยอดขายมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อเดือน เกิน 7 หลักครับ พอยอดขายมันดี ทีนี้ผมก็มีหนี้ส่วนตัวผมประมาณ 10 ล้าน หุ้นส่วน 2 คน หนี้คนละประมาณ 10 ล้าน เราก็คิดว่า 2-3 ปีเราน่าจะหมดหนี้ ปรากฏว่ายอดขาย 7 หลักกว่าๆ พอเดือนกุมภาพันธ์ที่ โ ค วิ ด -19 เข้า ทุกสาขาขายรวมกันผมว่ามันไม่น่าจะเกินหมื่นอ่ะ มันก็หายไปเลย ขๅยดีแค่ไหน? “ก็ขายดี ช่วงแรกมันเป็นการซัพพอร์ตจากเพื่อนๆ คนรู้จัก แล้วก็มีคนที่เคยดูละครเห็นก็มาอุดหนุนกันพอสมควร อยู่ในเกณฑ์ที่กำลังค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นครับ โชคดีที่ช่วงที่ผ่านมาได้เล่นละครไงครับ ละครที่เพิ่งจบไปเรื่องเสาร์ 5 ช่อง 7 ต้องขอบคุณ พิเชษฐ์ ศรีราชา และโอริเวอร์ บีเวอร์ ผู้จัดละคร ที่เขาโยนบทดีๆ ให้ผม ฟีดแบ๊กดีมาก คนก็จำได้เยอะมาก เลยทำให้มีกลุ่มนี้เข้ามาช่วยซัพพอร์ต ก็โชคดีนะ”
ซื้อทุเรียนมาทีละเป็นแสน? “แสนบาทครับ ช่วงแรกๆ เราก็ไม่รู้ว่าจะขายได้วันละกี่ลูก หรือกี่กิโลฯ ทุเรียนมันแพงไงครับ วันที่ผมไปเอาทุเรียนมันดีดขึ้นมาอีก กิโลฯ นึงประมาณ 10 บาท จากวันแรกที่คุยกันไว้ แต่มันก็เป็นเรื่องปกติครับ ที่ราคามันขึ้นๆ ลงๆ แต่ละวันราคามันไม่เท่ากันเลย” มั่นใจ หรือ คาดหวังว่าขๅยทุเรียนจะปลดหนี้ได้? “มั่นใจมากพอสมควร เพราะว่ามันเป็นทุเรียนที่เราคัดมา คนกินทุเรียนมีความหวังในการกินทุเรียน ยิ่งคนอายุเยอะ ตัดสินใจกินทุเรียนทีมันก็ต้องแลกกับเบาหวาน แลกกับอะไรหลายอย่าง ฉะนั้นเขาต้องได้กินของที่อร่อย เราก็เลยคัดของอร่อยมาให้เขากิน เชื่อมั่นว่าเขากินต้องติดใจ ตอนนี้ก็มีซื้อซ้ำแล้วนะทุกวัน เพราะเราการันตีเนื้อ เลยคิดว่าไม่แน่อีกสักพักอาจจะขยายสาขาครับ ขๅยจนกว่าจะปลดหนี้ได้? ผมมีบ้านอยู่ 2 หลังในหมู่บ้านเดียวกัน อีกหลังเอาไปทำเป็นออฟฟิศ อีกหลังเป็นบ้านที่ผมอยู่ ซึ่งช่วงที่ผ่านมาหลังนึงที่เป็นออฟฟิศโดนยึดขายทอดตลาดเป็นที่เรียบร้อย แต่ยังดีที่ผมยังมีของอยู่ที่ออฟฟิคอยู่ไง
โชคดีว่าคนที่ซื้อหนี้เสียของผมไป เขาเป็นเจ้าหนี้ที่ค่อนข้างอะลุ่มอล่วย เห็นใจลูกหนี้ เขาไม่ได้มาบีบคั้นเรา ไม่ได้มากดดันเรามากมายทำให้เราทุกข์ใจมากๆ เขาเข้าใจ มันไม่มีเงินจ่าย แต่การที่เขายึดไปขายทอดตลาดมันก็เป็นเรื่องปกติที่ผมเข้าใจได้อยู่แล้ว แล้วบ้านที่ผมอยู่ก็คงใกล้เคียงกันเร็วๆ นี้ เลยคาดหวังว่าธุรกิจนี้สมมติมันได้กำไรเดือนละ 5 หมื่น ถ้าเราอยากได้ 5 แสน เราก็เปิด 10 ที่ คิดประมาณนี้ครับ คิดว่ามันดีครับ เดี๋ยวคงได้เปิดสาขาเพิ่ม” มีวิธีคิดมองโลกในแง่ดีอย่างไร ในการต่อสู้กับอุปสรรค? “ผมว่าอุปสรรค ปัญหา เป็นเรื่องปกติ ทำอะไรก็แล้วแต่ทุกเรื่องมีปัญหาหมดครับ เราต้องมีสติกับมันครับ ค่อยๆ แก้ปัญหาด้วยสติ เพราะว่าสุดท้ายแล้วมันก็ต้องแก้ปัญหาได้ ปลายทางมันคืออย่างนั้นอยู่แล้ว เราเลือกชีวิตแบบไหนอ่ะ ชีวิตที่ทุกข์กับมันทุกวัน หรือชีวิตที่มีสติเข้าใจมันแล้วก็ค่อยๆ ก้าวผ่านมันไปทีละข้อ ตอนจบมันก็แก้ได้อยู่แล้ว อย่างบ้านผมอ่ะ ตอนจบมันก็โดนยึดอยู่แล้วอ่ะ คุณหัวเราะทุกวันก็โดนยึด คุณร้องไห้ทุกวันก็โดนยึด เราจะเลือกแบบไหนในการไปสู่จุดนั้น เพราะสุดท้ายมันก็เหมือนกันอยู่แล้ว เพียงแต่ถ้าเรามีสติเราอาจจะหาทางที่มัน ค่อยๆ แก้มันได้ หรือเราไม่ต้องไปทุกข์ใจกับมันมาก”